วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ดูแล้วจดกันลืม Fantastic beast & where to find them

เพิ่งได้ไปดูมา ภาพยนตร์ภาคขยายของ Harry potters ชื่อเรื่อง Fantastic beast & where to find them. เป็นหนังที่โปรโมทข้ามปี และการันตีความน่าสนใจด้วยการเขียนบทภาพยนตร์โดย JK Rowling เอง

เมื่อได้มาดูก็รู้สึกสดใหม่มาก แม้ฉากหลังจะย้อนยุคไปในยุค 1920 ก็ตามที แต่โลกของพ่อมดแม่มดในยุคนี้ ดูร่วมสมัยกว่าเรื่องแฮรรี่ ซึ่งเป็นช่วยปลายยุค 90 มาก เนื่องด้วยเรื่องราวเกิดในนิวยอร์คมิใช่ในสก็อตแลนด์อันเป็นที่ตั้งของ ร.ร.ฮอกวอตส์ 

เรื่องราวนี้เริ่มต้นด้วยความงุนงงของเหตุประหลาดพร้อมๆกับการมาของ นิวท์ สคาแมนเดอร์ พ่อมดจากอังกฤษที่มาพร้อมกระเป๋ามหัศจรรย์ ที่ตัวล็อกมีปัญหาทำให้ทันทีที่ขึ้นฝั่งก็มีสัตว์วิเศษลอบหนีจากกระเป๋าและก่อเรื่องวุ่นวายทันที

เนื้อเรื่องโดยละเอียดอยากให้ไปดูกันเองในโรงนะครับ สนุกกว่า

แต่สิ่งที่อยากเล่าคือ เรื่องราวนอกจากปัญหาที่เกิดจากนิวต์นั้น เกิดขึ้นก่อนหนังเริ่มเล็กน้อย อาจทำให้คนดูงุนงงกับความสััมพันธ์ตัวละครได้ แต่ในเรื่องก็มีการเผยความเกี่ยวข้องที่หลายคนคงอยากให้เล่าเรื่องตรงๆ มากกว่านี้ เพราะบางจุดก็อาจเผลอมองข้ามได้ง่าย ไม่ว่าจะสาเหตุที่ทีน่าโดนปลดจากการเป็นออร่า  หรือ มือปราบมาร (เฉลยในเนื้อเรื่อง) ที่ไปที่มาของนิวต์ซึ่งในเรื่องมีการวางปมไว้ให้ไปสานต่อในภาคหน้า เพราะสุดท้ายสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับนิวต์คือ เขาคือผู้เชี่ยวชาญเรื่องสัตว์วิเศษทั้งการสื่อสารและเลี้ยงดูมัน แต่กลับไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว เขามีเรื่องอะไรจึงโดนไล่ออกจากฮอกวอทส์ แถมเจ้าตัวยังพูดน้อยจนน่าหงุดหงิดซะด้วย เราเลยแทบไม่รู้เรื่องของเขาเลย (ฮา)

การดำเนินเรื่องใช้เวลาพอดีๆ กับเวลาในเรื่องซึ่งใช้เวลาไม่กี่วัน ต่างกับแฮร์รี่ภาคต่างๆ ที่กินเวลาร่วมปีในแต่ละภาค ทำให้สนุกกระชับ แต่คนดูที่ไม่เคยดูแฮรี่สักภาค คงงงว่าเมื่อกี้ทำอะไร ทำไมหายตัวได้ หรืออะไรยังไง และศัพท์แสงมากมายที่งอกขึ้นมาจนเราอยากถามเหมือนเจค็อบว่า "ใครก็ได้อธิบายที"

ความสนุกอีกอย่างคือ ทุกคนเป็นผู้ใหญ่ จึงไม่มีของพวกตาแก่หัวดื้อที่คอยสะกัดดาวรุ่งพ่อมดวัยรุ่น ไม่มีไอ้พวกเลือดแท้คอยข่มเหงลูกครึ่ง (แต่ยังแอบแบ่งแยก คนธรรมดากับพ่อมดแม่มด) แต่การตามหาและการคลี่คลาย ทำให้Fantastic beast เป็นภาพยนตร์ที่ฉีกกรอบชวนหงุดหงิดของแฮรี่ทั้ง 8 ภาคได้อย่างง่ายดาย แม้จะมีชื่อบุคคลที่สิ้นไปแล้วในแฮรี่ปรากฎก็ไม่ต้องใส่ใจมากก็ได้

แม้ภาคแรกจะจบแบบไม่ค้างคา แบบเผื่อว่าถ้าทำเงินไม่ได้ดีเด่ ก็เทได้เลย เพราะมันครบถ้วนในตัวเองแล้ว แต่ก็ได้ยินว่าwarnerไฟเขียวทำต่ออีก 4 ภาคแล้ว ดูกันยาวๆครับ

และเชื่อว่าคนที่คนดูจะจดจำได้มากที่สุดคงไม่พ้น เจค็อบ คนไร้เวทมนตร์ที่ดูเนียนไปกับสิ่งมหัศจรรย์ที่เขาเพิ่งพบเห็นได้ ในเรื่องก็ย้ำบ่อยๆ ว่า ไม่มีใครเหมือนเขา เขาเปิดรับทุกอย่างได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล เปิดใจรับได้ง่ายกว่าพวกองค์กรเวทมนตร์ใจคับแคบเสียอีก

ภาคนี้cgอลังการงานสร้าง ยิ่งห้องในกระเป๋าของนิวต์นี่ ถ้าเป็นcgสมัยแฮรรี่คงดูไม่จืดครับ ผมว่ามันช่วยขยายโลกเวทมนตร์ไปได้ไกลกว่่าเดิม อาจเพราะJK พบแล้วว่า เธอติดในกรอบของตัวเองมากไปจนเรื่องของแฮรรี่วนเวียนในอ่าง (แม้ฉบับนิยายจะทำหน้าที่ดีกว่าฉบับหนังแล้วก็ตาม)

ก็ต้องรอลุ้นกับภาคต่อไปที่เราคงไม่มีทางเดาเรื่องได้ง่ายๆ แต่เชื่อว่า มันจะต้องดีไม่แพ้ภาคแรกแน่นอน

 

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ช่วงนี้ (สิงหา 2016) คิดไร? (1)


19 สิงหาคม 2016...

สิงหาคมเป็นเดือนที่การงานค่อนข้างรุมเร้ามาก เนื่องจากบริษัทที่ทำมีโปรเจคใหญ่ที่ตัวเองไปเกี่ยวข้องหลายงาน
ONE PIECE หนังโรง, ไกมุ ฉายทีวี , งาน Manga Anime Game
ไอ้ที่ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเองโดยตรงก็มี เกม Pokémon GO ที่ฮิตแสนฮิต, อดีตไอดอลมาเรียนหนังสือที่ไทย , ไอดอลที่ชอบมากคนนึงมาถ่ายแบบในกทม.

เขียนไล่ลำดับละกัน เอาที่บริษัทก่อน

คือ แต่ละเรื่องมีปัญหาที่ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย
ONE PIECE หนังโรง

2 ภาคที่บ.เคยทำมา เป็นการลงทุนเองของบ. รายได้การฉายบอกเลยว่าเจ๊ง พอภาคนี้เลยต้องมาร่วมทุนกับบริษัทอื่น ซึ่งคร่ำหวอดในวงการหนังไทย เขาไม่เคยทำการ์ตูน เขาหวังพึ่งว่าทาง บ.เรา มืออาชีพกว่าต้องจัดการได้ดี ในแง่การผลิตน่ะ เราทำได้อยู่แล้ว เพราะทำมา 10 กว่าปี แต่เขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยการจ้างดารามาพากย์การ์ตูนด้วย ซึ่งเราคัดค้านระดับยอมลาออกไปแล้ว เขาก็ไม่ฟัง ยังไงก็จะเอา

จัดไปครับ

พอเอาดารามาพากย์ ก็นึกว่าจะให้พากย์บทเล็ก ปัดโถ่ ดันส่งบทใหญ่มาก คือ ตัวร้ายของเรื่องให้พากย์ซะงั้นคือ
เอาคนไม่เคยพากย์เสียงมาพากย์เยอะๆ มันฆ่าดาราคนนั้นเปล่าๆ เพราะทักษะของมือใหม่ มันไม่สามารถถ่ายทอดได้ดีอยู่แล้วครับ คือ คนเพิ่งหัดมันทำอะไรได้ไม่เยอะหรอก แต่ที่ร้ายกว่าคือเสียงเขาไม่ได้เหมาะกับตัวละครเลย คือ ให้เรามองนะ ถ้าเอาบทตัวรองๆ ที่ไม่ต้องหล่อนะ เราว่าเขาพากย์ได้แน่นอน และไม่โดนด่าด้วย

แล้วทีนี้พอเสียงของเขาหลุดออกไปสู่โซเชี่ยลมีเดีย ก็โดนด่าชิบหาย
ด่าทั้งดารา, ด่าทั้ง บ.เรา (ซึ่งโทษนะ เราไม่ได้ขอให้ทำแบบนี้ นายทุนเขาอยากจัด)
ไอ้งานที่ควรจะเสร็จก็ดีเลย์ไป 7 วัน 10 วัน เพราะต้องรอให้ดารากลับมาจากต่างประเทศ เพื่อพากย์ซ่อมทั้งเรื่อง!
ส่วนตัวเรานับถือดาราคนนั้นนะ โคตรใจสู้ เป็นเรา เราจะทำไงวะ?
ทีนี้ก็เหลือแค่การ mix เสียงให้ออกมาพอรับได้ โชดีเราได้มือ mix เซียนๆ มาช่วย และ ก็มีการใช้จุดที่ดีมาใส่แทนจุดที่แย่บ้าง อย่างกับกด copy/place กันทั้งเรื่อง

เราหวังว่าคนดูจะให้ความเป็นธรรมให้การตัดสินละกัน
(วันที่เขียนยังไม่ฉายแบบพากย์ไทย)

------------------------------

ไกมุ ฉาย ทีวี

เรื่องนี้เราลงมาจัดการเรื่องการใส่เสียงเองทั้งหมด คือ มันมีรายละเอียดเยอะ และ ต้นฉบับก็ไม่พร้อมเท่าไหร่ เรียกได้ว่า เราแทบทำงานแทนห้อง mix ที่เป็นซัพพลายเออร์ไปเลย คือส่วนที่เราทำได้ เราก็เต็มที่ให้มัน ระดับที่งัดเอาทักษะที่สั่งสมมาหลายปีมาลงให้เลย เพราะเรารู้สึกว่าถ้าเรื่องนี้เจ๊งอีกนะ ปีหน้าเราคงไม่มีงานให้ทำละ

แต่ทีนี้ปัจจัยภายนอกมันก็รุมเร้าอีกนะ อย่างมีการแต่งเพลงไทยมาประกอบเรื่องนี้ 2 เพลง โดย โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ กับ โหน่งชะชะช่า ซึ่งโดนด่าอีกแหละ แฟนคลับคนไทยไม่ค่อยอยากรับอะไรที่มันหลุดกรอบล่ะนะ เราเข้าใจ แต่เราก็อยากบอกเหมือนวันพีซว่า "เราไม่ได้ขอนะ คนอื่นจัดมา"

เรียกว่า ทำงานแบบใส่ใจแบบสุดๆ และปลงแบบสุดๆ ไปพร้อมกัน เฮ่อ

--------------------------

งาน Manga Anime Game

งานนี้ บ.เราไม่ได้ออกหน้า เพราะ90% เป็นสิ่งที่มิวเซี่ยมโตเกียวเขาตระเตรียมมาเอง บ.เราเป็นซัพพลายเออร์
หน้าที่ของตัวเราคนเดียวที่ได้รับมอบหมายมา คือ การตัดต่อวิดีโอ Documentary ของงานนี้ ซึ่งบอกตามตรงเป็นงานที่ไม่เคยทำมาก่อน คือ เราอาจจะคลุกคลีงานวิดีโอมามาก แต่การตัดต่อภาพยนตร์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้เรียนมาหรอก อาศัยครูพักลักจำ จำๆ งานคนอื่น แล้วก็มานั่งตัดต่อ ใช่ เราเป็นช่างตัดต่อ ไม่ใช้ผู้กำกับหรอก อยากบอกว่านี่เป็นงานที่เรามองไม่เห็นผลลัพธ์จริงๆ งานเดียว มองไม่เห็นเส้นชัยเท่าไหร่

ถ้าลูกค้าไม่แฮปปี้ ก็คงรื้อทั้งหมดมาทำใหม่แน่นอน
ก็ขอให้มีคอมเมนต์มาละกัน จะเอาไงก็แล้วแต่...
-----------------------------



วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2559

เคยมั้ยเครียดจน (รู้สึกเหมือน) เส้นเลือดในสมองหวิดแตก


นี่ไม่ใช่บทความทางการแพทย์นะครับ แค่บันทึกความรู้สึก

หลายปีก่อน...

เคยได้ยินว่า ผู้กำกับเวทีชาวญี่ปุ่นที่มาทำงานกับบริษัทของผม แกเคยมีอาการเครียดและโมโหจนหมอต้องสั่งห้ามโมโหและห้ามเครียดมาแล้ว ไม่งั้นเส้นเลือดในสมองจะโป่งพองจนแตกได้ ตอนแรกก็คิดว่า เพราะคุณผู้กำกับแกอายุมากแล้วหรือเปล่า? แกถึงออกอาการนั้น

แต่พอมาเจอเข้ากับตัว ผมว่ามันไม่เกินจริงเลยกับอาการเครียดจนเส้นเลือดในสมองจะโป่งพองจนจะแตกได้

วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ผู้นำเสนอ, ผู้วิจารณ์ และ ผู้แทงข้างหลัง บน โซเชี่ยลมีเดีย

คยมีคนบอกว่าบางคนที่ขยันทวิตหรือขยันอัพสเตตัสบนเฟซบุคนั้นในชีวิตแบบออฟไลน์แล้วไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ซึ่งบอกตามตรง ไอ้บางคนนี่มันคงต้องนับรวมผมไปด้วยอย่างแน่นอน

คุณอาจจะไม่เคยมีประสบการณ์ร่วมกับผมก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าสนใจก็อ่านต่อนะครับ

ต้องถามก่อนเลย คุณเป็นคนจำพวกที่ไม่ต้องมีใครยอมรับก็ได้หรือเปล่า? แบบใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ต้องมีคนยอมรับตัวตน ไม่ต้องให้คนอื่นเห็นความสำคัญ ผมว่าน้อยคนที่จะเป็นแบบนั้น  หลายคนต้องการเพื่อน, ต้องการสังคม และไม่ต้องการที่จะอยู่คนเดียว คุณยอมไปแฮงก์เอาท์กับเพื่อนทั้งๆที่ฝืนใจหรือเปล่า? ถ้าใช่คุณเองก็ต้องการการยอมรับว่าเป็นเพื่อนกับคนอื่น แต่ก็มีบางคนที่อึดอัดเมื่ออยู่ในวงเหล้า วงปาร์ตี้ และสบายใจที่จะใช้เวลาอยู่กับตัวเองสินะ

ในสมัยที่อินเตอร์เน็ตยังไม่เจริญ (ก่อนปี 1995) นั้น คนเราคบหากันด้วยการพบหน้ากันหรือโทรศัพท์หากัน แต่หลังจากอินเตอร์เน็ตเข้ามา เราเริ่มมี "สังคมบนเน็ต (โซเชี่ยลมีเดีย)" เราเริ่มรับข่าวสารในแบบที่ไม่ได้ถูกจำกัดแค่รายการทีวี, รายการวิทยุ และสิ่งพิมพ์อีกต่อไป และเกิดพื้นที่ "แสดงตัวตน" ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการทำเว็บไซต์หรือการเขียนblogจนคนบางคนไม่จำเป็นต้องออกไปเจอหน้ากันบ้างแล้ว และสามารถนำเสนอแนวคิวได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่อทีวี เพราะเรานำเสนอบนพื้นที่ของเราเอง จนบางครั้งกลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้คนบางคนไม่ยอมออกจากบ้านเป็นฮิคิโคโมริที่ข้าเก่งในเน็ต แต่ข้าไม่ออกไปเจอแกนอกบ้านหรอก

  ต่อมาเมื่อสิ่งที่เรียกว่า "สมาร์ทโฟน" เข้ามาในชีวิตเราเมื่อไม่ถึง 10 ปีมานี้ เราก็เริ่มที่จะ "อยู่ในสังคมบนเน็ตในทุกๆที่ (ที่ไวไฟและสามจีเข้าถึง) " กล่าวคือ "พื้นที่ของเราเอง" ที่แต่ก่อนต้องอยู่หน้าจอคอม ก็ย้ายมาอยู่บนหน้าจอสมาร์ทโฟนแทน จากการหมกตัวในบ้านก็กลายเป็นว่าแม้จะอยู่ข้างนอกเราก็ขังตัวเองอยู่ในหน้าจอสมาร์ทโฟนได้ จนเริ่มถูกคนอื่นประชดว่าเป็นสังคมก้มหน้ากันไปแล้ว

คนที่ไม่เคยก้มหน้าเขาคงไม่เข้าใจว่าทำไม คนก้มหน้าถึงเสพย์ติดขนาดนี้

โซเชี่ยลมีเดียนั้น กลายเป็นพื้นที่ที่คุณไม่ต้องอดทนกับการเข้าสังคมแบบฝืนๆ (ถ้าคุณฝืนล่ะนะ) คุณสามารถติดต่อกับใครก็ได้แม้ไม่เคยเจอหน้ากันเลยก็ตามที คุณสามารถบอกคนอื่นได้ว่าตอนนี้คุณคิดอะไรอยู่ โดยมีความแฟร์คือ เมื่อใครสักคนไม่พอใจในสิ่งที่คุณคิดเขาก็สามารถคอมเมนต์คุณกลับได้ หรือแสดงความพึงพอใจในสิ่งที่คุณนำเสนอด้วยการกด Like หรือ Retweet นั่นจะตอบโจทย์ในใจว่า "มีคนเห็นด้วยกับเรา มีคนไม่เห็นด้วยกับเรา เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก (อย่างน้อยๆ ก็ในด้านความคิดล่ะนะ)" 

บางคนได้รับการยอมรับมากๆ เข้า ก็กลายเป็นเน็ตไอดอล เป็นเซเลป (คนดัง)ในวงการเน็ตไปเลยก็มี ซึ่งก็มีทั้งคนที่คนอื่นชูให้ บางคนก็ชูตัวเอง จนบางทีก็ดูเละเทะไปก็มี ซึ่งจริงๆ เน็ตไอดอลไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชี้นำสังคมหรอกนะ แต่คนที่ยอมรับพวกเขากลับมองว่า "เน็ตไอดอลและเซเลปเป็น trend setter ให้กับโลกเน็ต" ซึ่งเมื่อเซเลปแสดงความคิดเห็นใดๆ ก็จะมีคนทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย และถูกวิจารณ์ได้ว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ทั้งที่เบื้องต้นแล้ว เน็ตไอดอลหรือเซเลปหรือคนธรรมดาก็แค่ทำเหมือนเดิมคือ นำเสนอสิ่งที่คิดหรือ อัพเดทสเตตัสของตัวเองเท่านั้นแหละ

หลายคนอาจไม่ได้มาเขียนก็เป็นสายติดตาม การฟอลโลว์คนดังส่องดูชีวิตเขาก็เป็นอีกช่องทางนึงในการเสพย์ บางคนก็เสพย์ในสิ่งที่ "สื่อเดิม" เสนอไม่ได้ เพราะติดตามเฉพาะทางเกินไป ในสายตามเองก็มีสายแซว, สายแขวะ บางคนก็แซวขำๆ บางคนก็แค่พูดถึงบวกวิจารณ์บ้าง แต่บางคนที่มองว่า "การแซว" เป็นการทำร้ายคนดังผมคิดว่า บางทีคนที่วิจารณ์คนที่แซวอีกที ตัวเขาเองอาจไม่เคย "แซวคนอื่น" หรอก แต่ถนัด "การแทงข้างหลัง+ รอซ้ำเติม,รอทำร้ายคนอื่นลับหลัง"   พวกนี้บางทีก็จับกลุ่มรวมหัวเป็น "สังคมนินทา" เพราะทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะโต้เถียงกัน แต่บางคนก็เลือกที่จะไม่แสดงความคิดเห็นในที่แจ้ง แต่แอบเอาไปด่าทอกันที่อื่นต่อ เป็นอีแอบที่เก่งในบ้านเล็กในจอสมาร์ทโฟนอีกที 

บทความ หรือ สเตตัส หรือ ข่าว ทุกคนมีสิทธิ์ทำได้เท่าเทียมกัน แต่จำนวนคนยอมรับอาจแตกต่างกันตามแต่สิ่งที่ทำสะสมมา คนที่สังคมในเน็ตยอมรับก็ไม่ใช่ว่าจะสั่งสมในวันเดียวหรอก แต่ไอ้คนที่บ่อนทำลายคนอื่นนี่สิ เวลาด่าเขาก็ไม่กล้าออกมาด่าตรงๆ ไม่ได้สร้าง "ตัวตนให้คนยอมรับ" แท้ๆ ริอ่านจะมาทำลายกันนี่มันก็นะ

ไปสร้างพื้นที่และขอบเขตการยอมรับของตัวเองก่อนดีกว่ามั้ยครับ?

เผื่อว่าเวลาคุณเห็นต่าง แล้วคนไม่ยอมรับคุณจะได้โดนคนวิจารณ์ในการกระทำของคุณเองบ้าง

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

กินช็อกโกแลต ดาร์ธเวเดอร์ ที่คอนเซปต์ฮาๆกันมั้ยล่ะ

ช่วงนี้ STAR WARS ภาค 7 Force Awakens กำลังจะฉาย การโหนกระแสสินค้าจากเรื่องนี้ก็เล่นหนักขึ้นเรื่อยๆ นะ และนั่นก็ลามมาถึง บ.โมรินางะ จากญี่ปุ่น ที่เอาฮากันขนาดนี้เลย

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

รู้หรือไม่ ทำไมบริษัทการ์ตูนถึงเน้นการขาย online ไม่มีหน้าร้าน?


Designed by Freepik

การซื้อการขายนั้นเกิดขึ้นบนโลกมา2พันกว่าปี แล้ว และตั้งแต่อินเตอร์เข้ามีส่วนในชีวิตของเรา จนแทบจะเป็นปัจจัยที่ 5 อยู่แล้ว ก็ทำให้เกิดการซื้อขายบนอินเตอร์เน็ต หรือที่เขาเรียกกันว่า E-commerce นั่นแหละครับ

เดิมที E-commerce มันเป็นแค่อะไรเก๋ๆ ที่เติมเต็มให้แบรนด์หรือ shop ต่างๆ ดูทันสมัยไม่ตกยุค แต่ในยุคที่เราติดต่อกันโดยไม่สนใจหน้าตาและภาษาแล้ว E-commerce หรือตอนนี้เป็น Online shopping นั้น

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

[บ่นวันอาทิตย์] อยากบ่นแต่ไม่อยากให้คนถูกบ่นมันได้เห็นว่ะ

ใครอาศัยอยู่บนโลกแล้วไม่เคยเบื่อคนรอบข้างบ้าง
ถ้ามีก็ดีไปนะครับ

แต่ผมเป็นคนที่ขี้เบื่อ พอขี้เบื่อในสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ เราก็อยาก "บ่น" ให้คนอื่นได้อ่านได้ฟังบ้าง
คือ ถ้าเก็บไว้ในอก คงอึดอัดชิบหาย คือผมเป็นคนที่ต้องหาที่ระบายอารมณ์ บางคนก็อาศัยไปต่อยมวย, ชกกระสอบทราย, เล่นศิลปะการต่อสู้ ได้ออกแรงชกอะไรบ้างมันก็เป็นการระบาย "ความเบื่อ" "ความเซ็งในใจ"

ตอนนี้ผมยังไม่มีอุปกรณ์ระบายอารมณ์แบบนั้น (สงสัยเขียนเสร็จต้องซื้อสินะ?) และก็ไม่มีใครอยากรับฟังเรื่องสั่วๆรายวันของผมหรอก หมายถึงคุยกันน่ะนะ

ผมจึงอาศัยบ่นในเน็ต

อินเตอร์เน็ตเคยเป็นพื้นที่ส่วนตัว, ระบายเรื่องในใจของตัวเอง แทนไดอารี่ (แต่ก็มีคนอื่นมาอ่านได้นะ) แต่วันนึงสิ่งที่เรียกว่า "การ share" ไม่ว่าจะ facebook, twitter มันก็ทำให้ "ความเป็นส่วนตัว" มันหายไปหมด และที่เหนืออื่นใด "เพื่อนมัน" เพื่อนของไอ้คนที่เราบ่นใส่บางทีมันอ่านแล้วมันก็รู้ว่า "ผมด่าเพื่อนมัน" มันก็เอาไปแชร์ไปเม้าท์แตกไปนินทาและสุมหัวกันทำลายผมทีหลัง

ชักเริ่มเกลียดการเขียนอะไรลงบนเน็ตเพราะเพื่อนมัน

รำคาญที่จริงๆแล้ว ไม่ว่าใครก็มีสิทธิ์ไม่พอใจคนอื่นมั้ย มีสิทธิ์รำคาญ มีสิทธิ์บ่นมั้ย?

แน่นอนว่า "การถูกแขวะบนเน็ต" แม่งน่าหงุดหงิด แต่เราก็ต้องยอมรับนะว่า "ทีเรายังด่ามันได้ ทำไมมันจะด่าเราไม่ได้" คือ โต้กันเองบนเน็ตก็ได้หรอก แต่โคตรเกลียดพวกเขียนเป็นนัยๆ ในการด่าคนอื่นเลย มันฉลาดมากที่คิดวิธีเหี้ยๆแบบนี้ได้ มันด่าเราโดยคนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจจะไม่เห็นว่ามันด่า

สัส เกลียดพวกเพื่อนเยอะชิบเป๋ง

คือ ก็ไม่รู้มันทำได้ยังไงนะกับไอ้การที่กลางวันทำงาน,กลางคืนเล่นเกมทั้งคืนและก็คุยกับชาวบ้านไปด้วย คือชีวิตมึงไม่ต้องการเวลา "อยู่กับตัวเอง" เลยเหรอ? แบบทำอะไรตามลำพัง ไม่ต้องอยู่กลางหมู่เพื่อน? คือพอดีผมเป็นคนเพื่อนน้อย เพื่อนที่มีก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นแนวเดียวกัน100%หรอก มันเจอกันได้แค่บางเวลา คือ ส่วนมากผมเอาเวลาไป make money มากกว่าจะ make friend เนี่ยสิ ทำให้เห็นว่าการ hang out ม้นแอบเสียดายเวลามากๆ คือ เราอยากมีเวลา "เพื่อตัวเอง" มากๆๆๆๆๆ เพราะกลางวันเราทำงาน เราอยู่กับ "คนอื่น" ตั้ง8-12 ชม แล้ว ขอนอน 8 ชม และเวลาเพื่อตัวเองซัก 4 ชม ได้มั้ย

พอมันมีเพื่อนเยอะ มีห่าเหวอะไรก็ต้องบอกเพื่อน
ผมมีเพื่อนน้อย มีห่าเหวอะไรบางทีก็เก็บไว้ในใจ
เวลาเจอเรื่องเลวๆ บางครั้งผมก็เก็บไว้เฉยๆ แต่พวกห่านั่นต้องเอาไปโพนทะนา

เรื่องของเรื่องคือ จะทำไงดีวะ อยากบ่นแต่ก็ไม่อยากให้ไอ้คนที่เราบ่นใส่แม่งมาเห็น
อยากให้โลกทั้งใบรู้ความระยำของมันแต่ก็ไม่อยากให้ไอ้ระยำมันได้รู้ เหอๆ

จะ block ยังไงดีนะ? ในโลกที่คนเลวเพื่อนเยอะ ไม่ว่าจะยังไงมันก็ต้องได้อ่านน่ะ

เพราะบางทีโลกออนไลน์แม่งก็กลมเกินกว่าที่เราจะคิด

เบื่อ